debrief 5 ขั้นตอน สู่การ transform ตัวเอง ต้อนรับปีใหม่ จากการบรรยายของคุณ พอล ภัทรพล ผู้ผันตัวเองจากดารานักแสดง สู่การเป็นนักเขียน และนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ
Change VS Transform ต่างกันอย่างไร …. Transform คือการเปลี่ยนแปลงตัวเองแบบที่ไม่คงเหลือสภาพเก่าอีกเลย ฟังดูเก๋ไก๋ เพราะเราจะเป็น New Me ในเวอร์ชั่น The Best Me ได้เลยทีเดียว

ขั้นตอนที่ 1 – Finding your “north star”
เราต้องมีเป้าหมาย ที่ชัดเจน ในการนำทาง แต่เป้าหมายมันไม่ใช่แค่ Goal แต่ต้องเป็น Purpose คือ ขั้นเกิดมาทำไมนะ เราอยากจะทำอะไรให้เป็นประโยชน์กับโลกใบนี้ หรือตัวเรา เหตุผลของการตื่นนอนมาทุกเช้าคืออะไร when WHY is clear, the rest is clear การเปลี่ยนแปลงนั้น มันมี สามระดับ แต่เราต้องเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ในระดับ identity level ซึ่งเป็นระดับที่ลึกและเป็นตัวตนของเราที่สุด ระดับที่สองคือ process level คือเปลี่ยนการกระทำอะไรบางอย่างที่เป็นขั้นตอนของการเปลี่ยน และ outcome level คือผลลัพธ์ที่เราต้องการ ตัวอย่างเช่น เราอาจจะต้องการอ่านให้หนังสือให้ได้ เดือนละ เล่ม ในปีนี้ นี่คือระดับ outcome ถ้าเป็นระดับ process ก็จะเป็นการตั้งเป้าว่า เราจะอ่านวันละ 1 ชั่วโมง แต่หากเราเปลี่ยนระดับตัวตน นั่นเป็นว่า ชั้นจะเป็น life long learner จะเป็นผู้เรียนรู้ตลอดกาล เมื่อตัวตนเป็นเช่นนั้น ทุกๆ ขณะ เราจะมุ่งสู่เป้าเดียวกัน process จะปรับ และเราจะได้ผลลัพธ์ที่ดีขี้นทีละน้อย
ขั้นตอนที่ 2 – Being like japanese
ตัวอย่างของคนญี่ปุ่นที่สร้างประเทศใหม่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นตัวอย่างที่ีดี โดยการสร้างประเทศนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วเวลาอันสั้น แต่เป็น small step for better everyday การทำต้องทำทุกวัน ทำจนเป็นนิสัย ซึ่งอันนี้เป็นหลักการของ KAIZEN นั่นเอง เรามักจะล้มเหลวกับเป้าหมายที่เราตั้ง เพราะการเปลี่ยนแปลงนั้น ต้องการ BIG ACTION ที่เราต้องเปลี่ยนตัวตน ในคราวเดียวเยอะมาก ช่วงแรกเราอาจจะรู้สึกตื่นเต้นกับมัน แต่ระยะยาวมันทำให้เราเหนื่อยและท้อได้ง่าย เพราะเราจะรู้สึกว่ามันไม่ใช่ตัวเราเลย ซึ่งนี่เป็นกลไกธรรมชาติของสมองเรา จากการทำงานของต่อม amygdala ซึ่งในอดีตมันจะทำให้เราต่อสู้หรือหนีเมื่อเจอภัย แต่ในปัจจุบัน การทำงานของต่อมนี้จะไม่ยอมให้เราออกจาก comfort zone ดังนั้น เราจึงต้องหลอกมันด้วยการเปลี่ยนแปลงทีละน้อย
ขั้นตอนที่ 3 – learn from others
ความสำเร็จที่เราเห็นถ้าเทียบเป็นภูเขาน้ำแข็งมันคือส่วนที่พ้นน้ำ เป็นส่วนที่เรามองเห็น แต่ภายใต้ภูเขานั้น ในน้ำ มีอีกหลายสิ่งที่เรามองไม่เห็นซ่อนอยู่ ไม่ว่าจะเป็น ความมีวินัยในตัวเอง การทำงานอย่างหนัก การผ่านอุปสรรคต่างๆได้มาโดยไม่ย่อท้อแต่โดยไว ฉะนั้น การที่เราจะเลียนแบบความสำเร็จ ให้เรียนรู้จากภายใต้ภูเขาน้ำแข็ง คือ ขั้นตอนต่างๆ ว่าเค้าได้ผ่านอะไรมาบ้าง อย่าหลงกลกับคำถามตื้นๆ ว่า ทำยังไงนะถึงได้ประสบความสำเร็จ

ขั้นตอนที่ 4 – Fake it until you make it
“ฝึกฝืน” คือคำที่คุณ พอลใช้ แน่นอนการเปลี่ยนแปลงจะนำมาซึ่งพฤติกรรมใหม่ ที่เราอาจจะรู้สึกลำบากและไม่คุ้นชิน แต่ให้นึกถึงเป้าหมายเข้าไว้ และฝืนมันจนเป็นความเคยชิน แต่กลับไปที่ข้อสอง คือ การฝืนนั้น ต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงทีละน้อย มันก็เหมือนกับ เราเริ่มหัดเขียนด้วยมือที่ไม่ถนัด ที่เราต้องฝึกทุกวัน หรือ การฝึกโยคะที่เราก้มแต่ปลายเท้าไม่ได้ในวันแรก แต่เราต้องฝึกทุกวัน จนวันนึงมันจะทำให้เกิดขึ้นได้อัตโนมัติ สิ่งนึงที่คุณทำได้คือ ลองเขียนดูว่า best version of you มีลักษณะแบบไหนบ้าง และลองเลือกที่จะไล่ปิด gap นั้นทีละข้อ
ขั้นตอนที่ 5 – Adapt or Die
หากเราชะล่าใจว่าเราดีแล้ว นั่นคือ จุดเริ่มต้นของความล้มเหลว เพราะเราจะหยุดพัฒนา และในขณะที่เราหยุด ก็จะมีคนอื่นที่ทำงานหนัก พัฒนาตนเอง แบบใต้ภูเขาน้ำแข็ง คือเรามองไม่เห็น และเค้าก็จะแซงเราไปในที่สุด มีตัวอย่างในโลกธุรกิจมากมายที่ ยักษ์ใหญ่ล้ม เพราะมองข้ามสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่า Blackberry กับ Iphone หรือ Blockbuster กับ Netflix การล้มของยักษ์เมื่อมีผู้เล่นรายใหม่ ไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาอันสั้น แต่ใช้เวลาสองถึงสามปี ถึงถ้าไหวตัวไม่ทัน ทุกอย่างก็อาจจะช้าเกินไป Charles Darwin กล่าวไว้ว่า คนที่จะอยู่รอดไม่ใช่คนที่แข็งแรงที่สุด แต่จะเป็นคนที่สามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงได้ดีที่สุดต่างๆ หาก ซึ่งตอกย้ำว่าในโลกปัจจุบัน ธุรกิจที่จะชนะได้จะต้องมี economy of speed ที่ดีที่สุด เพราะยักษ์ใหญ่มักอุ้ยอ้ายและคิดเยอะเสมอ
