
ส่วนที่ 1 – แนวโน้มเศรษฐกิจมหภาคในปี 2025
- อเมริกา – การเลือกตั้งในต้นเดือน พ.ย. เป็นปัจจัยสำคัญ ที่ต้องเฝ้าติดตาม
- Trump เรียกได้ว่าเป็น isolationist & inflationist ให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจในประเทศก่อน โนสนโนแคร์เรื่อง net zero ที่สำคัญคือการตั้งกำแพงภาษี เพราะจะทำให้สินค้าในประเทศราคาแพงขึ้น มีแนวโน้มที่เงินเฟ้อจะเพิ่มสูงขึ้น และสุดท้าย fed อาจจะต้องหยุดการลดดอกเบี้ย หรือลดในอัตราที่ช้าลงกว่าที่ตั้งใจไว้
- ผลกระทบต่อเอเชีย คือ เมื่อ US ชะลอการลดดอกเบี้ย ในขณะที่ฝั่งเอเซีย รวมถึงภูมิภาคอื่น อาจจะต้องลดดอกลง ทำให้ fund flow จะไหลกลับเข้าอเมริกา และนั่นจะสร้างปัญหากับภูมิภาคอื่น เพราะ ดอกใน อเมริกา สูงกว่า ได้ผลตอบแทนที่ดีกว่า
- ยุโรป – เผชิญความยากลำบาก คนมีเงิน แต่ไม่ลงทุน กลัวความเสี่ยง
- จากการลงทุนตกต่ำต่อเนื่องตั้งแต่ 2019 ถึง -7% ในขณะที่ US & UK ยังเป็นบวกต่อเนื่อง เมื่อการเติบโตช้าลง อาจจะต้องขึ้นภาษี และรัฐต้องใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง
- ผลกระทบต่อไทย คือ ไอ้ที่หวังว่าจะได้นักท่องเที่ยว ก็อาจจะไม่เยอะอย่างที่คาด แถม การใช้จ่ายต่อหัวก็อาจจะไม่สูงอย่างที่คิด
- จีน – วิกฤต อสังหา ตัวฉุดรั้ง ให้ GDP อาจจะไปไม่ได้ดังหวัง ใช้เวลา 5-6 ปีกว่าจะกลับมาได้
- Revive Export – แม้คาดหวังว่า จะได้ผลกระทบจาก การขึ้นกำแพงภาษีของอเมริกา แต่จีนจะกลับมาด้วย การเป็น green supply chain ให้ทั่วโลก ในสินค้าที่ช่วยเรื่อง green transition ทั้ง solar cell, battery หรือ รถ EV ก็ตาม
- Domestic Demand เป็นเรื่องที่ต้องแก้ไขเร่งด่วน ทั้งอัตราการว่างงานของคนรุ่นใหม่ คนยังไม่กล้าที่จะใช้จ่าย จีนเลยต้องเล่นใหญ่
- ทั้งบาซูก้า นโยบายการเงิน เช่น การลดเงินสำรอง (RRR – Reserve Requirement Ratio) ที่ผ่านมา
- การฟื้นภาคอสังหา โดยการอัดเงินผ่านรัฐบาลท้องถิ่น รวมถึงการกระตุ้นการบริโภคในประเทศ เพื่อให้ GDP โตได้ 5% ตามที่อยากได้ในระยะสั้น แต่ถ้าระยะกลาง ไม่ work นี่แหละจะเจอปัญหาใหญ่เลยทีเดียว
- ผลกระทบต่อไทย คงเป็นเชิงบวก เพราะถ้าส่งออกมากขึ้น เราอาจจะได้ประโยชน์จาก supply chain นี้ ในกลุ่มของ green economy นอกจากนี้ ถ้าเรายังคงนโยบาย BE NEUTRAL ได้ดี เราน่าจะยัง capture ได้ทั้งตลาดจีน และ อเมริกา
- ไทย – ถึงเงินเฟ้อจะไม่มาก แต่ก็ไม่เติบโต นโยบายรัฐไม่ชัดเจน … ติดอยู่อย่างนี้แหละ
- ยังหวังการเติบโตจาก การบริโภคภายในที่ต้อง กระตุ้นให้ขึ้น
- นโยบายการคลัง จะมีความระวังมากขึ้นในการใช้จ่าย จุดที่น่ากังวลคือ หนี้สาธารณะ ต่อ GDP ที่ตอนนี้ อยู่ 65% และอาจจะเพิ่มขึ้นอีก 3-4% ในปีหน้า
- นโยบายการเงิน ที่หากลดอัตราดอกเบี้ย อาจจะส่งผลบวกต่อภาคก่อสร้าง ด้วยต้นทุนที่ต่ำลง และเป็นปัจจัยที่จะทำให้คนใช้จ่ายเพิ่มขึ้น
- ปัญหาสังคมสูงวัย ทำให้จะมีการปฏิรูประบบแรงงาน คือ การมีแรงงานจากกลุ่ม senior มากขึ้นในงานบางประเภท และ การมีการเคลื่อนย้ายแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาด้วย เป็นปัญหาในระยะกลางเลย
- ปัญหาสภาพอากาศ ทำให้เราโดนพายุ และฝนมากขึ้น ซึ่งจะทำให้โครงสร้างพื้นฐานที่จะต้องปรับให้เข้ากับ สภาพอากาศแปรปรวนต้องทำมากขึ้น
- ความเสี่ยงในการปรับตัวเองไปสู่ระบบเศรษฐกิจใหม่ ให้ทัน เพราะ เรายังเป็นประเทศที่พึ่งพาเศรษฐกิจเก่า เช่น พลังงานอยู่มาก
ส่วนที่ 2 ผลกระทบต่อการจัดสัดส่วนสินทรัพย์การลงทุน
- Andrew Stotz แชร์กลยุทธ์การจัด port ของเค้า
– หุ้น 50% (อเมริกา 25% อีก 25% กระจายกันไปทั่วๆ ทุกภูมิภาค)
– ทอง 25%
– พันธบัตร 25%
2. สัดส่วนทองทีเพิ่มขึ้น เปลี่ยนหน้าที่จาก hedging port เป็นมุมในการ momentum invest มากขึ้น และมีข้อสังเกต ของการขึ้นทองจากหนี้ สหรัฐเพิ่มขึ้น และ เมื่อมีการเริ่มทำ QE
3. ส่วนของ commodity อาจจะไม่ใช้เรื่องที่จะเอามาใช้ใน long-term port แต่เป็น tactical คือจะเข้าลงทุนเมื่อมีแนวโน้มเงินเฟ้อ เพื่อทำกำไร
4. พันธบัตร จะมีความอ่อนไหวต่อ job employment report มากขึ้น และเกี่ยวข้องกับการลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed
5. Geopolitics – จุดเปลี่ยนใหม่ ที่จะกระทบหลายสินทรัพย์
- สงครามจะยังเป็น สงครามตัวแทนอยู่ แต่พื้นที่ที่ต้องเฝ้าระวังคือ แอฟริกา
- จะรอดยังไง คือ ยังต้อง diversify port อยู่ แต่อาจจะต้องมองเรื่อง theme based นอกจากภูมิภาคด้วย เช่น green transition เพราะยังไงก็มา
- ยังไง พันธบัตร ก็ default ไม่ง่าย เพราะฉะนั้น ยังไงก็เป็นส่วนที่กระจายการลงทุนได้อยู่
- อย่า underweight อเมริกา เพราะยังไง เค้าก็มีทางรอดในรูปแบบของเค้า